กันทคลกชาดก


ว่าด้วย นกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น

กันทคลกชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๑๐. กันทคลกชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๒๑๐)

ว่าด้วยนกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น

             (นกหัวขวานกันทคลกะตกลงที่พื้นดินแล้ว กล่าวกับนกหัวขวานขทิรวนิยโพธิสัตว์ว่า)

             [๑๑๙] ท่านขทิรวนิยะผู้เจริญ ต้นไม้ต้นนี้มีใบเกลี้ยง มีหนาม ชื่อต้นอะไร กระหม่อมของข้าพเจ้าแตก เพราะการเจาะต้นไม้นี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น

             (นกหัวขวานขทิรวนิยโพธิสัตว์ฟังคำรำพันของนกหัวขวานกันทคลกะแล้ว จึงกล่าวว่า)

             [๑๒๐] นกหัวขวานตัวนี้ชื่อกันทคลกะ เมื่อจะเจาะหมู่ไม้ในป่า ได้บินท่องเที่ยวไปในหมู่ไม้แห้งที่ไม่มีแก่น ต่อมาภายหลัง ได้มาพบไม้ตะเคียนซึ่งมีแก่นโดยธรรมชาติ ได้ทำลายกระหม่อมที่ต้นตะเคียนนั้นแล้ว

กันทคลกชาดกที่ ๑๐ จบ

นตังทัฬหวรรคที่ ๖ จบ

-----------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

กันทคลกชาดก

ว่าด้วย นกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุเลียนเอาอย่างพระสุคต ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               เรื่องย่อมีอยู่ว่า ในครั้งนั้น พระศาสดาทรงสดับว่า พระเทวทัตได้เลียนเอาอย่างพระสุคต จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวทัตเลียนอย่างเรา ถึงความพินาศ มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน เทวทัตก็ได้ถึงความพินาศมาแล้ว ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกหัวขวาน ในหิมวันตประเทศ เที่ยวหาอาหารในป่าไม้ตะเคียน. นกหัวขวานนั้นมีชื่อว่าขทิรวนิยะ มีนกสหายตัวหนึ่งชื่อกันทคลกะ นกกันทคลกะเที่ยวหากินอยู่ในป่าไม้ทองหลาง. วันหนึ่ง นกกันทคลกะได้ไปหานกขทิรวนิยะ นกขทิรวนิยะดีใจว่าสหายของเรามาแล้ว จึงพานกกันทคลกะเข้าไปยังป่าไม้ตะเคียน ใช้จะงอยปากเคาะลำต้นตะเคียน ได้ตัวสัตว์ออกจากต้นไม้นั้นมาให้. นกกันทคลกะจิกกินสัตว์ที่สหายให้แล้วๆ เล่าๆ ดุจขนมอร่อย. เมื่อนกกันทคลกะจิกกินอยู่นั้น จึงเกิดมานะขึ้นว่า นกขทิรวนิยะแม้นี้ก็เกิดในกำเนิดนกหัวขวาน แม้เราก็เกิดในกำเนิดเดียวกัน ทำไมเราจะต้องอาศัยเหยื่อที่เขาให้เล่า เราจักหาเหยื่อในป่าตะเคียนเอง.
               นกกันทคลกะกล่าวกะนกขทิรวนิยะว่า สหายท่าน อย่าลำบากเลย เรานี่แหละจักหากินในป่าตะเคียนเอง. ลำดับนั้น นกขทิรวนิยะจึงกล่าวว่า ดูก่อนสหายท่าน ด้วยการหากินในป่าไม้ไม่มีแก่น เช่นไม้งิ้วและไม้ทองหลางเป็นต้น ส่วนไม้ตะเคียนเป็นไม้แก่นแข็ง จะทำอย่างนั้นรู้สึกไม่พอใจเราเลย. นกกันทคลกะกล่าวว่า เรามิได้เกิดในกำเนิดนกหัวขวานดอกหรือ ไม่เชื่อคำของนกขทิรวนิยะ ผลุนผลันไป เอาจะงอยเคาะต้นตะเคียน. ทันใดนั้นเอง จะงอยปากของนกกันทคลกะหักทันที ตาทะเล้น หัวแตกไม่อาจจับอยู่บนยอดไม้นั้นได้ ตกลงพื้นดิน กล่าวคาถาแรกว่า :-
               ดูก่อนผู้เจริญ ต้นไม้ที่มีใบละเอียด มีหนามนี้เป็นต้นไม้อะไร เราเจาะเพียงครั้งเดียว ทำให้สมองศีรษะแตกได้.
               นกกันทคลกะไม่สามารถจะรู้จักต้นตะเคียนว่าเป็นต้นอะไร เพราะเจ็บปวดมาก ได้รับเวทนา จึงพร่ำเพ้อด้วยคาถานี้.
               นกขทิรวนิยะฟังคำเพ้อของนกกันทคลกะ แล้วจึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               นกกันทคลกะ เมื่อเจาะหมู่ไม้อยู่ในป่า ได้เคยเที่ยวเจาะแต่ไม้แห้งที่ไม่มีแก่น ภายหลังมาพบเอาต้นตะเคียนซึ่งมีกำเนิดเป็นไม้แก่นอัน เป็นที่ทำลายสมองศีรษะ.
               นกขทิรวนิยะพูดกะนกกันทคลกะนั้นว่า ดูก่อนกันทคลกะผู้เจริญ ต้นตะเคียนนี้เป็นไม้แก่นที่ทำลายสมองศีรษะ. นกกันทคลกะได้ถึงแก่ความตายในที่นั้นเอง.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
               กันทคลกะในครั้งนั้น ได้เป็น เทวทัต. ในครั้งนี้
               ส่วนนกขทิรวนิยะ คือ เราตถาคต นี้แล.

จบ อรรถกถากันทคลกชาดกที่ ๑๐ 

----------------------------------              

 

หมายเลขบันทึก: 718124เขียนเมื่อ 7 พฤษภาคม 2024 05:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม 2024 05:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท